จัดโดยสถาบันวิทยาศาสตร์ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๙ กันยายน - ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต รังสิต จังหวัดปทุมธานี
มีวัตถุประสงค์หลัก
๑.อธิบายความหมายของวิทยาศาสตร์และธรรมชาติของวิทยาศาสตร์(Nature of Science : NOS)
๒.อธิบายลักษณะ (Aspect)ของธรรมชาติวิทยาศาสตร์
๓.วิเคราะห์และปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ที่บงชี้และสะท้อนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์
๔.ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สะท้อนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์
๕.สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สะท้อนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์
๖.ตะหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู็ที่สะท้อนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์
๗.สามารถขยายผลเพื่อพัฒนาครูเพื่อให้สามารถสะท้อนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้
กิจกรรมเป็นแบบการประชุมระดมความคิด ระดมประสบการณ์ที่ผสานระหว่างแนวคิดใหม่ของการให้ความสคัญของ NOS และสร้างกิจกกรรมการเรียนรู้ที่สะท้อนและบ่งชี้ได้ว่าเป็นกิจกรรมวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง
เนื่องด้วยความเป็นจริงของวิทยาศาสตร์ก็คือความเป็นธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ หากมีปัจจัยทางสังคมเนื่องจากแนวคิด ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมในท้องถิ่นใด มามีอิทธิพลหรือคลอบงำวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ยังคงเอกลักษณ์ไว้ได้เช่นคำว่า ทองคำ แม้นตกไปเปรอะเลอะโคลน ความเป็นทองก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าเป็นทอง หากแม้นทองคำถูกความร้อนสูงมากระทำ ทองก็ยังคงสมบัติความเป็นทอง ดังนั้นความเป็นธรรมชาติวิทยาศาสตร์หากถูกแต่งเติมไป ความเป็นสมบัติที่เรียกว่าเอกลัษณ์หรือลักษณะ คงยังสะท้อนให้ชี้ชัดได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์นั้นเอง
จากบทความในเอกสารประกอบการปชุมดังกล่าวซึ่ง ดร.สุทธิดา จำรัส( ๒๕๕๕ : ๕) ที่อ้างถึง McComas 1998a ที่ว่านักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ศึกษา นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ เห็นพ้องต้องกัน ว่าการเรียนวิทยาศาสตร์เน้นส่วนเฉพาะองค์ความรู้และทักษะการปฏิบัติการนั้น ยังไม่เพียงพอ นักเรียนยังต้องเข้าใจความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ที่จะทำให้ผู้เรียนนั้นปรับตัวอยู่ในสังคมและธรรมชาติได้อย่างปกติสุข นอกจากนี้แล้วนักการศึกษาวิทยาศาสตร์บางท่านยังเปรียบเปรย Nature of Science ว่าเป็นเสมือน DNA ของวิทยาศาสตร์ (Perkins-Gough,2006) แม้นตกทอดมาหลากหลายรุ่นแล้วก็ยังสามารถสืบถึงต้นตอความเป็นวิทยาศาสตร์ได้
นอกจากนี้แล้วบทความดังกล่าวได้จำแนกกรอบลักษณะของธรรมชาติวิทยาศาสตร์ในแง่ ๑.องค์ความรู้( Body of knowledge) ๒.กระบวนการ( Pocess)๓.กิจการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Activities)
ในทางกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ ของธรรมชาติวิทยาศาสตร์ล้วนเกิดจากมนุษย์ ที่มีผลจากประสบการณ์ การฝึกฝน รสนิยม ค่านิยม ตลอดความเชื่อที่เป็นผลมาจากกิจกรรมทางสัีงคม เช่น การให้ความยอมรับนับถือนักวิทยาศาสตร์ ในสมัยก่อน เป็นการสื่อให้เห็นภาพที่คนหลายคนต่างก็ใฝ่ฝันและใฝ่หาที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศปรากฏ แต่ปัจจุบันสังคมสื่อสารเน้นเป้าหมายชื่อเสียงในเชิงธุรกิจมากกว่า กลับกลายเป็นว่านักวิทยาศาสตร์มักจะเป็นเงาของความมีชื่อเสียงนั้น ๆ มากกว่าที่จะเป็นฐาน DNA ของธรรมชาติวิทยาศาสตร์
ดังนั้นการจะสร้างผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีลักษณะที่สอดคล้องกับธรรมชาติวิทยาศาสตร์และมีลักษณะความเข้าใจพื้นฐานของธรรมชาติวิทยาศาสตร์ ๘ หลักการ ของ Lederman et al., McComas,2005 สรุปพอสังเขปดังนี้
๑.ความรู้วิทยาศาสตร์ได้มาจากการศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซึ่งต้องอาศัยหลักฐาน ข้อมูล ผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล
๒. ความรู้วิทยาศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากมีหลักฐานของข้อมูลใหม่มาสนับสนุน
๓.กฎและทฤษฎีเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกัน กฏจะบอกถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีแบบแผนที่แน่นนอน ณ สภาวะใด ๆ แต่ทฟษฎีจะอธิบายที่มาหรือเหตุผลของการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้น ๆ ทั้งกฏและทฤษฎีมีความสำคัญในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
๔.การศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีหลากหลายวิธี เช่น วิธีทางวิทยาศาสตร์ การต่อยอดความรู้ ความบังเอิญ การทดลองโดยวิธีคิด (Thought experimental) เป็นต้น
๕. การหาความรู้โดยการสังเกตและลงข้อสรุปจะแตกต่างกัน โดยการสังเกตจะให้ข้อมูลที่เป็นหลักฐานในการลงข้อสรุปจากหลักฐานที่ได้โดยการสังเกต เช่นการศึกษาเกี่ยวกับอะตอม เป็นต้น
๖.การทำงานทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการควบคู่กันไปกับการวิเคราะห์
๗.วิทยาศาสตร์คือกิจกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งได้ผลกระทบจากประสบการณ์ การฝึกฝน ความเชื่อ และความรู้สึกนึกคิดของคน เช่น ศีลธรรม ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ การตีความและมุมมองหรือแนวคิดที่หลากหลาย อคติและความลำเอียง การปิดบังหรือการไม่ยอมรับข้อมูลหรือผลการทดลอง ดังนั้นในการทำงานวิทยาศาสตร์จึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิหรือเพื่อร่วมงาน การนำเสนอผลงาน การประชุม หรือการตีพิมพ์ในวารสาร
๘.วิทยาศาสตร์คือกิจกรรมการทำงานของมนุษย์ซึ่งภายใต้สภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน
ธรรมชาติวิทยาศาสตร์ล้วนแต่เป็นการสนองต่อความอยากรู้ (Curiosity) ที่จะพยายามใช้ความรู้นั้น ๆ ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมมากว่าการอยู่เหนือธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
การประยุกต์ใช้กับผู้เรียนจึงเป็นการที่ให้ผู้เรียนนั้นได้ใช้ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ในแง่ของจินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์ อันจะนำไปสู่กิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทาย น่าสนใจ และประทับใจเหมือนเดิมของความเป็นธรรมชาติของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ผู้เขียนขอบคุณคณะทำงาน คณะวิทยากร และเพื่อน ๆ ที่เป็นสมาชิกการประชุมดังกล่าวเป็นอย่างสูง
ครูธรรมศักดิ์ ช่วยวัฒนะ
โรงเรียนอนุบาลรัตนบุรี
จังหวัดสุรินทร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น